วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับที่ทำให้มือถือ Android ของคุณ ทำงานเร็วขึ้น แรงขึ้น!!

              ผู้ใช้ Android ทุกท่านที่ถือสมาร์ทโฟนระดับกลาง จนถึงรับดับ Top อาจประสบปัญหาการตอบสนอง Android ทำงานช้าลงเมื่อใช้เจ้ามือถือตัวนี้เป็นเวลานาน วันนี้จะมาลองทำให้มือถือ Android ของคุณ เร็ว แรงขึ้นเหมือนใหม่เลย


ถอดแอพที่ไม่จำเป็นออกจากเครื่อง ( Uninstall App )


            ในเมื่อคุณแทบจะไม่ได้ใช้แอพนั้นเลยตั้งแต่โหลดมาจาก Play Store ก็ควรที่จะถอดแอพนั้นออกจากมือถือซะ จะได้มีพื้นที่แอพสำหรับติดตั้งแอพอื่น และอาจส่งผลถึงความเร็วที่ดีขึ้นด้วย
            นอกจากนี้หากคุณมีไฟล์รูปเยอะแยะ ควรทำการ backup ลงคอมพิวเตอร์ทั้งหมด   หรือจะใช้วิธี อัพขึ้น บน cloud ของคุณ (เฉพาะเอกสารที่ไม่สำคัญ ) เพลง เป็นต้น   หากพื้นที่ภายในมือถือของคุณถึงขีดจำกัด ก็ลองย้ายทั้งไฟล์ข้อมูลของคุณ ที่อยู่ภายในมือถือมาลงใน SD-Card หรือย้ายแอพที่ทำงานจากตัวเครื่องอยู่ใน SD Card ก็ได้

ลบแคชภายในมือถือ ( Clear Cache on Android Device )

             โดยสาเหตุส่วนหนึ่งนี้คือ แอพบางตัวที่ทำการ Cache ค่า หรือแอบดาวน์โหลดบางอย่างจาก Internet มาเก็บไว้ในเครื่องของเรานั่นเอง จนแคชโตขึ้น ทำให้พื้นที่หน่วยความจำภายในบนสมาร์ทโฟนของเราไม่พอ ดังนั้นต้องลบแคชในแต่ละแอพออกโดยสามารถติดตามอ่านวิธีการลบแคช ด้วยแอพ App Cache Cleaner ได้ที่นี่

ลดการใช้ Widget และ Wallpaper เคลื่อนไหว (Disable Live Wallpaper , Limit Widget )


                 ด้วยวิธีการเปลี่ยนมาใช้ภาพนิ่ง หรือ Wallpaper นิ่งๆไม่เคลื่อนไหว นอกจากจะช่วยประหยัดแบตแล้ว ยังช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องด้วย ทำให้สมาร์ทโฟนของคุณแรงขึ้นอีก และลดการใช้ Widget เหลือแค่ widget ที่เราใช้บ่อย  หรือ เอาพวก Widger ออกให้หมดก็ได้ ก็จะทำให้เครื่องแรงขึ้นได้เช่นกัน แถมช่วยลดการสูบ Data บน 3G , 4G ได้ด้วย



ปิด  Animation บนมือถือ



             เป็นการปิดลูกเล่นสวยงามบนมือถือ ในการกระทำต่างๆ อาจดูแปลกๆหน่อย แต่เพื่อแลกกับความเร็วแรงขึ้นด้วย และไม่กระทบต่อระบบของเครื่องแน่นอน เพราะสามารถกลับมาเปิดอีกครั้งได้ สามารถปิด Animation เคลื่อนไหวต่างๆของมือถือทำได้โดยไปที่ Setting เลือก Developer Options   >>> จากนั้นให้ทำการ OFF ที่ Windows Animation Scale , Transition Animation Scale  , Animator Duration Scale ทั้ง 3 รายการนี้ให้เป็น Off ให้หมด


อัพเดตเฟิร์มแวร์

              ในบางครั้งสาเหตที่ทำงานช้าอาจเป็นเพราะตัวระบบ Android ยังเก่า ดังนั้นควรอัพเดตเฟิร์มแวร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการทำงานใหม่ๆ และการแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆจากเวอร์ชั่นเก่าด้วย ซึ่งสามารถเช็คเฟิร์มแวร์ใหม่ได้จากศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ ที่คุณซื้อมา  หรือเช็คตรวจสอบเฟิร์มแวร์ใหม่ ที่ Settings เลือกAbout Phone และเลือก “System updates”

อีกวิธีสำหรับเซียน Android อยู่แล้ว คือ ROOT

             คำเตือน การ ROOT นี้ทำให้มือถือคุณหมดประกันทันที และหากทำพลาด อาจเสี่ยงถึงตัวระบบใน Android พังได้  แต่ถ้าคุณใช้มือถือจนหมดประกันแล้ว ( 1 ปีขึ้นไป ) และมีความชำนาญรู้เรื่องเกี่ยวกับการ ROOT บางทีการ ROOT ก็อาจช่วยให้มือถือแรงขึ้นดีขึ้นก็ได้ โดยต้องเลือก ROM ที่เหมาะสมกับเครื่องเราจริงๆ แต่ถ้าคุณเป็นผู้ใช้มือถือทั่วไป ก็ไม่ควรเลือกใช้วิธีนี้

หากไม่ช่วยให้แรงขึ้นเลย ทางออกคือเริ่มต้นใหม่หมด Factory Reset

            วิธีนี้ทำให้ดูมือถือคุณเป็นเครื่องใหม่ตั้งแต่คุณซื้อมา ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัย และ Ok ที่สุดแล้วที่จะได้ความเร็วแรงของเครื่องกลับมาเหมือนใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องทำการ back up ข้อมูลต่างๆลงคอมของเรา หรือลง cloud ด้วย เช่น รายชื่อเบอร์โทรศัพท์ ต้องทำการ sync ขึ้นไปยัง gmail ก่อน  , ย้ายไฟล์ภาพ วีดีโอ เพลง ลงบนคอม เป็นต้น ก่อนทำการ Factory Reset ซึ่งวิธีนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดภายในมือถือ และให้ทำการตั้งค่ามือถือ Android ใหม่ เหมือนตอนซื้อเครื่องใหม่
วิธีการทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยให้มือถือของคุณทำงานได้เป็นปกติ เร็วขึ้น แรงขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดแบตได้อีกด้วย



Microsoft เผยอุปกรณ์เชื่อมต่อรูปแบบใหม่



ในงานประชุม D: All Things Digital Microsoft นำเสนอระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ แบบดิจิตอล โดยใช้ชื่อว่า “PlayTable” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการรับข้อมูล Input จากอุปกรณ์ต่าง ๆ

ซึ่ง PlayTable จะเป็นการรวมองค์ประกอบต่าง ๆ ที่คุณเคยเห็นใน iPhone และอุปกรณ์ต้นแบบต่าง ๆ ของ Microsoft โดยทาง Microsoft ได้มีการนำไปใช้กับเครื่องเล่นดิจิตอล เช่น Zune ไปถึงโทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่ X-Box เครื่องเกมคอนโซลของค่าย Microsoft อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือแปลกที่ทาง Microsoft จะมีโครงการที่พัฒนาโดยแผนก Mobile and Entertainment ซึ่งจะรับผิดชอบในการ พัฒนาอุปกรณ์เหล่านี้ และคงต้องรอชมในงานว่าจะมีการเปิดตัวเทคโนโลยีนี้หรือไม่

ฟีเจอร์เด็ด Hidden Chat ที่โพสต์แชตคุยบน Line แล้ว จะลบออกโดยอัตโนมัติ



               Line ประกาศปล่อยเพิ่มฟีเจอร์เด็ดใหม่สำหรับการแชตสนทนากัน โดยฟีเจอร์ใหม่นี้ค่อนข้างสำคัญและเพิ่มความเป็นส่วนตัวอีกขั้นนึง ด้วย  Hidden Chat ที่เมื่อโพสต์ผ่านทางฟีเจอร์ Hidden Chat แล้ว ข้อความหรือรูปภาพที่โพสต์คุยเมื่อสักครู่จะถูกลบโดยอัตโนมัติ โดยสามารถตั้งเวลาให้ลบเร็วสุดๆคือ 2 วินาที 



วิธีการใช้  ฟีเจอร์ Hidden Chat บนแอพ Line



ก่อนอื่นต้องอัพเดตแอพ Line บน iOS และ Android  ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดก่อน

                    เมื่ออัพเดตเสร็จแล้ว ก็เปิดแอพ Line แล้ว เข้าสู่หน้าต่างสนทนาของเพื่อน 1 คน เมื่อเข้าหน้าต่างแชตสนทนาแล้วให้แตะที่ชื่อเพื่อนด้านบนสุดของจอ (ตามหมายเลข 1 )  เพื่อเรียกเมนู 3 เมนู    ให้เลือกที่ Hidden Chat    ก็จะเข้าสู่หน้าต่างแชตแบบ Hidden Chat แล้ว


                    ต่อมาก็ตั้งเวลาลบข้อความแชตโดยอัตโนมัติ ก็แตะที่ไอคอนชี้ลง ด้านบริเวณมุมขวาบน (ตามหมายเลข 1 ) จะปรากฏเมนูด้านบน  4 อย่าง ก็เลือกที่ timer เพื่อตั้งเวลาลบข้อความอัตโนมัติ


โดยสามารถเลือกเวลาลบเร็วหรือช้าได้ตามต้องการ โดยลบเร็วสุดคือ 2 วินาที  ส่วนลบช้าสุด นาน  1 สัปดาห์
                      เมื่อเลือกเวลา timer เรียบร้อย ลองส่งข้อความหาเพื่อนโดยแชตหาเพื่อนดูผ่านทางหน้าต่าง Hidden Chat หรือจะส่งภาพ หรือส่งสติ๊กเกอร์ก็ส่งทาง  Hidden Chat ได้ด้วย

การเปิดอ่านข้อความ Hidden Chat  จากเพื่อน


                     ผู้รับข้อความก็จะเห็นข้อความเราในลักษณะขึ้นข้อความ Hidden Chat  พร้อมเวลาข้อความที่จะลบดังรูป  ให้เราแตะที่ข้อความ Hidden Chat ก็จะแสดงข้อความ รูปภาพ วีดีโอ ที่เค้าส่งมาให้เรา  แต่เวลาจะนับถอยหลังจนหมดเวลา ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฎในหน้าต่าง Hidden Chat ก็จะลบออกหายไปโดยอัตโนมัติ 
                    ทั้งนี้การใช้ฟีเจอร์ Hidden Chat ใช้ได้กับการแชตสนทนากับเพื่อน แบบ  1 ต่อ 1 เท่านั้น ไม่สามารถใช้บนแบบ Group ได้ และการคุยผ่านทาง Hidden Chat ผู้ใช้ต้องใช้บน Line เวอร์ชั่นล่าสุดเท่านั้น หากต่างเวอร์ชั่นก็จะไม่สามารถส่งคุยแบบ Hidden Chat ได้ 




5 เหตุผล ทำไมนักพัฒนาเลือก Android

5 เหตุผล ทำไมนักพัฒนาเลือก Android



           Android เป็นแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาโปรแกรมมือถือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความแกร่งที่ถูกฟูมฟักโดย Google และการซัพพอร์ตของผู้ผลิตมือถือ-สมาร์ทโฟน ทำให้นักพัฒนาสามารถเรียนรู้เทคนิคการพัฒนาโปรแกรมสำหรับ Android และนำไปสร้างเป็นธุรกิจได้ในอนาคต
          BM บริษัที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดีได้ทำการวิจัยในหมู่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาแพลตฟอร์ม จากกลุ่มตัวอย่าง Developer มืออาชีพ 4,000 คน โดยมี 5 เหตุที่พวกเขาเลือก Android ว่า

1          1.    หากคุณเป็นผู้มีความรู้พื้นฐานของการเขียนโปรแกรม คุณสามารถนำแนวคิดของคุณมาประยุกต์ใช้เพื่อเขียนแอพพลิเคชั่น Android ได้
2          2.    เครื่องมือ แพลตฟอร์ม เฟรมเวิร์ก ต่าง ๆ เป็นทรัพยากรของการสร้างแอพพลิเคชั่นที่สามารถหาใช้ได้แบบฟรี ๆ
3          3.    จำนวนที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ที่สามารถรองรับกับแพลตฟอร์ม Android
4          4.    ตลาดของ Android ที่โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหาจุดอิ่มตัวได้ยาก
5          5.    การเป็นปรแกรมเมอร์ทางด้าน Android ยังช่วยส่งเสริมให้การหางานนั้นง่ายยิ่งขึ้น บวกกับกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากของตลาดแอพพลิเคชั่น


เชื่อมั่นว่าจากวันนี้และต่อไปในอนาคต จะมีผู้ใช้ Android เพิ่มมากขึ้น อุปกรณ์ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ จะถูกประยุกต์เข้ากับระบบ Android แทนที่จะเป็นในมือถือเพียงอย่างเดียว แอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มหุ่นตัวเขียวจะได้รับการพัฒนาให้มีความหลากหลาย ที่สำคัญ Application Developer จะยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นด้วยเช่นกัน
   



เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคที่สาม (3G)

3G คืออะไร?

3G ย่อมาจากคำว่า Third Generation of Mobile Telephone ใช้เรียกให้เข้าใจถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคในยุคที่สาม ซึ่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคแรกนั้น เปรียบเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบแอนะล็อก (Analog) มีย่านความถี่ต่างๆ กัน ต่อมาเคลื่อนเข้าสู่ยุคที่สอง เปลี่ยนสัญญาณจากแอนะล็อกมาเป็นสัญญาณดิจิทัลที่เราใช้กันอยู่
แต่เนื่องด้วยความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ ก็เกิดการเร่งพัฒนาตอบสนอง ด้วยเทคโนโลยีที่มีความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ จากที่ต้องการเพียงการสนทนา กลับเริ่มต้องการส่งข้อความเพียงแค่ตัวหนังสือก่อน ต่อมาเริ่มต้องการส่งกราฟิกขาวดำ เริ่มส่งภาพขาวดำ ภาพสี ริงโทน ส่งออดิโอหรือวิดีโอคลิป เล่นเกมด้วยกัน จนถึง วิดีโอสตรีมมิ่ง ถ่ายทอดสด บริการเสริมเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจว่าทำไม 3G ถึงความเร็วสูงขึ้น แต่ไม่ใช่แค่ความเร็วสูงขึ้นเท่านั้น 3G ยังพยายามเป็นมือถือที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ง่าย ซึ่งบางคนก็บอกว่า 3G คล้ายอินเทอร์เน็ตบอร์ดแบนด์ที่เราออนไลน์ได้ตลอดเวลานั่นเอง
ทีนี้มาดูคำนิยามของ 3G กัน ตามมาตรฐาน IMT-2000 (International Mobile Telecommunications-2000) ที่ ITU ซึ่งมาจากผู้เกี่ยวข้องในวงการโทรคมนาคมทั่วโลกกำหนดไว้มีดังต่อไปนี้


  • “ต้องมีแพลตฟอร์ม (Platform) สำหรับการหลอมรวมของบริการต่างๆ อาทิ กิจการประจำที่ (Fixed Service) กิจการเคลื่อนที่ (Mobile Service) บริการสื่อสารเสียง ข้อมูล อินเทอร์เน็ต และมัลติมีเดีย เป็นไปในทิศทางเดียวกัน” คือ สามารถถ่ายเท ส่งต่อ ข้อมูลดิจิทัล ไปยังอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทต่างๆ ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้
  • “ความสามารถในการใช้โครงข่ายทั่วโลก (Global Roaming)” คือ ผู้ใช้สามารถนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนไปใช้ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
  • “บริการที่ไม่ขาดตอน (Seamless Delivery Service)” คือ การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเซลล์ไซต์ (Cell Site) ซึ่งที่เขาใช้ว่า Seamless ก็คือ ไร้รอยตะเข็บนั่นเอง
  • อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล (Transmission Rate) ในมาตรฐาน IMT-2000 กำหนดไว้ว่าต้องมีอัตราความเร็วตั้งแต่ 144 กิลบิตต่อวินาทีในทุกสภาวะ จนถึง 2 เม็กกะบิตต่อวินาทีในสภาวะกึ่งเคลื่อนที่ และสูงถึง 384 กิโลบิตต่อวินาทีในสภาวะเคลื่อนที่
นี่แหละคือนิยามที่ ITU และในเอกสารประกอบการทำประชาพิจารณ์แบบเฉพาะกลุ่ม เรื่องการอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT-2000 ในประเทศไทย ให้ความหมายไว้ หลายคนอาจรู้สึกว่านิยามได้ไม่ถูกใจ และอาจไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะหากเทคโนโลยีทำงานไม่ได้ตามนิยามข้อใดข้อหนึ่งจะถือว่าเป็น 3G หรือไม่ จึงเป็นเหตุผลให้เรามักเรียก 3G ที่อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่านั้น